Utada Hikaru: รักแรกแห่งญี่ปุ่น เจ้าหญิงอาร์แอนด์บีผู้ก้าวข้ามความสำเร็จของตนเองได้ด้วยสไตล์

วงเวลาแห่งความสำเร็จของอุทาดะ ฮิคารุ อาจจะผ่านไปแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถึงทุกวันนี้ผลงานของเธอก็ยังคงเป็นที่กล่าวขาน

เริ่มเดบิวต์ตั้งแต่อายุ 15 ปี แม้ผลงานชุดแรกๆ ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก แต่ต่อมาอัลบั้มชุด First Love (1999) ซึ่งเป็นอัลบั้มเพลงภาษาญี่ปุ่นชุดแรกของเธอกลับขายดีระเบิดเถิดเถิงถึงสิบล้านก๊อปปี้ทั่วโลก หากนับแค่ในเกาะญี่ปุ่นก็ปาเข้าไป 8 ล้านก๊อปปี้แล้ว ซึ่งตอนนั้นเธอมีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น มันราวกับว่าเธอถึงจุดสูงสุดของอาชีพเธอแล้วทั้งๆ ที่ยังซื้อเบียร์จากร้านสะดวกซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ มันอาจจะถือว่าเป็นระดับปรากฏการณ์ก็ว่าได้ที่เด็กอายุ 15-16 ที่เพิ่งเข้าสู่วงการกลับทำยอดขายได้ในระดับนี้

มันไม่ง่ายเลยที่จะหาศิลปินในญี่ปุ่นมาเทียบแม้แต่กับตัวของเธอเองในเวลาต่อมา

อุทาดะ ฮิคารุ หรือที่แฟนคลับเรียกกันอย่างติดปากว่าฮิกกี้ เกิดในครอบครัวศิลปินทั้งแม่ของเธอที่เป็นนักร้อง พ่อของเธอที่เป็นทั้งนักแต่งเพลงและโปรดิวซ์เซอร์ ไม่แปลกที่เธอจะได้รับความสามารถในการขับร้องและแต่งเพลงมาจากทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เธอได้เกิดและเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะกลับมาเดบิวต์ที่ญี่ปุ่นนั้นส่งผลต่องานเพลงของเธอเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการมีเนื้อร้องภาษาอังกฤษแทรกในเนื้อร้องภาษาญี่ปุ่น ซึ่งค่อนข้างแตกต่างไปจากงานเพลงทั่วๆ ไปของญี่ปุ่นในยุคนั้น ที่เธอสามารถผสานเนื้อร้องภาษาอังกฤษกับภาษาญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว และด้วยภูมิหลังที่เธอมีประสบการณ์ภายใต้วัฒนธรรมตะวันตกที่แตกต่างไป ทำให้เพลงของเธอได้รับอิทธิพลตรงนั้นมา เนื้อเพลงจึงดูมีความเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าตัวเธอเองในตอนนั้นมาก

อย่างในเพลง First Love ที่เราน่าจะรู้จักกันดี พูดถึงจูบสุดท้ายที่มีรสชาติเหมือนบุหรี่ ซึ่งทั้งการจูบและบุหรี่อาจจะฟังดูโตเกินว่าเด็กอายุ 16 ในยุคนั้นจะพูดถึงกัน แต่ในเพลงนี้เธอกลับใช้มันเป็นวัตถุดิบในการสร้างความสะเทือนใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ืเพลงนี้พูดถึงความรักที่ต้องแยกจากกันไป แต่อีกฝ่ายยังคงอยู่ภายในภาพความทรงจำเราอยู่เสมอในฐานะรักครั้งแรก ถึงแม้ภาพจำสุดท้ายจะเป็นจูบที่รสชาติบุหรี่ก็ตาม และยังหวังว่าเราคงอยู่ซักที่ภายในหัวใจของเขาเช่นกัน ทำให้มันกลายเป็นเพลงรักแสนเศร้าผ่านเสียงร้องอันไพเราะของอุทาดะที่ชวนให้เราหวนระลึกถึงความรักที่ไม่สมปราถนา ด้วยทำนองสไตล์บัลลาดบาดหัวใจผู้ฟังให้เลือดออกซิบๆ แต่ขัดแย้งกับชื่อเพลงที่เป็นเหมือนกับดักที่ทำให้เราตกหลุมรักนักร้องคนนี้

ด้วยเพลงนี้เองที่ส่งผลให้อัลบั้ม First Love โดงดั่งเป็นพลุไฟพะเนียดทำลายสถิติยอดขายแผ่นทั้งหมดทั้งมวลในประเทศญี่ปุ่น และยังคงเป็นสถิติอันยืนยงจนถึงทุกวันนี้ มันเป็นเหมือนเป็นหลักไมล์ที่ตั้งตระหง่าที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจจะท้าทายมันได้อีก

แม้จะมีผลงานเพลงและอัลบั้มตามออกมีอีกจำนวนมากที่ได้รับการวิจารณ์ในแง่บวกก็ตาม อย่างอัลบั้ม Distance ในปี 2001 ที่ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นเพลงอาร์แอนด์บีจากอัลบั้มก่อน ที่มีเพลง Can You Keep A Secret?, DISTANCE, Wait & See ~ Risk อัลบั้ม DEEP RIVER ในปี 2002 ที่แนวเพลงมีความเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสมัยนิยมในยุคนั้นโดยที่นำความเป็นเจป๊อปและเจร็อก เข้ามามากขึ้น มีแทร็กนำอย่าง SAKURA Drops, traveling, Uso Mitai Na ~ I Love You ก็ยังไม่สามารถทุบสถิติเก่าของเธอเองได้เลย

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหยุดสร้างสรรค์ผลงานระดับสูงออกมาอีก ในปี 2008 อัลบั้ม HEART STATION ก็เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดของเธอถูกปล่อยออกมาโดยที่อัดแน่ด้วยเพลงระดับคุณภาพ HEART STATION, Flavor Of Life, Prisoner Of Love, Fight The Blues, Kiss & Cry, Beautiful World หรือในปี 2016 ที่เธอปล่อยอัลบั้ม Hatsukoi ซึ่งแปลว่า First Love ล้อไปกับชื่ออัลบั้มแรกของเธอในปี 1999 ซึ่งมันเป็นเหมือนการที่เธอก้าวข้ามความสำเร็จของมันโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยยอดจำหน่ายแต่ด้วยวิถีแห่งดนตรี Anata, Hatsukoi เป็นเรือธงของอัลบั้มนี้ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการร้องของเธอไม่ได้หายไปตามกาลเวลา เธอยังสามารถแต่งเนื้อร้องและร้องเพลงรักด้วยน้ำเสียงแสนหวาน ที่ทำให้ผู้ฟังนึกถึงความรักครั้งแรกที่มีให้ต่อเธอในอัลบั้ม First Love อีกครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเธอมีดีแค่นั้น เพลง Forevermore, Too Proud แสดงให้เห็นถึงวิถีทางแห่งดนตรีของเธอที่เติบโตขึ้น โดยผสมความเป็นดนตรีร่วมสมัยแนวทดลองลงไป แต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นป๊อปอยู่

แม้เธอไม่สามารถก้าวข้ามความสำเร็จเก่าๆ นั้นไปได้ แต่สิ่งที่เธอทำคือการก้าวข้ามความสามารถของตนเองไปสู่พรมแดนใหม่ของเธอเอง และเธอก็ทำมันได้ดีเสียด้วย ตามมาด้วยการทัวร์คอนเสิร์ต Hikaru Utada Laughter in the dark ในปี 2018 ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับตั๋วที่ขายหมดเกือบทุกรอบ เป็นการฉลองครบรอบเดบิวต์ 20 ปีของเธอ และเทปบันทึกภาพการแสดงสดยังได้รับการสตรีมลงใน Netflix โดยที่เธอเป็นผู้แปลบทบรรยายภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอีกด้วย

และล่าสุดเธอได้ปล่อยซิงเกิลใหม่ล่าสุดพร้อมมิวสิกวีดีโอเพลง Pink Blood ซึ่งเป็นเพลงป๊อปแนวทดลองที่เป็นแนวทางเพลงของเธอในช่วงหลังมานี้ ซึ่งมีความเป็นป๊อปผสมกันซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความเป็นฮิปฮอปสอดแทรกเข้ามาได้อย่างลงตัว รวมถึงอีกหนึ่งผลงานที่หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตคือ เธอรับเหมาสัมปทานเป็นผู้ร้องเพลงประกอบภาพยนต์อนิเมะ Rebuilt of Evangelion ตั้งแต่ภาค 1.0 You Are (Not) Alone, 2.0 You Can (Not) Advance ที่มีเพลง Fly Me To The Moon, Beautiful World เป็นเพลงธีมหลัก และ Sakura Nagashi ในภาค 3.0 You Can (Not) Redo และในภาคล่าสุดกับ One Last Kiss ที่ใช้ประกอบภาค 3.0 + 1.0 Thrice Upon A Time จึงเป็นอีกหนึ่งภาพจำระหว่างตัวเธอเองกับการรีบิ้วด์จักรวาลอีวาเกเลี่ยน ที่ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับของฮิกกี้เองหรือแฟนบอยส์ของอนิเมะเรื่องนี้เองก็ตาม ราวกับว่าเธอเป็นเทวทูตอีกตนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังจักรวาลของอีวาเกเลี่ยน

ส่วนชีวิตส่วนตัวของเธอเอง เธอไม่ค่อยมีภาพลักษณ์ที่เสียหายตามหน้าสื่อซักเท่าไหร่ แม้จะมีข่าวรักๆ เลิกๆ จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับคุณแม่ของเธอเองก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เป็นนการเลิกราที่คอขาดบาดตาย หนำซ้ำยังเป็นการแยกทางกันด้วยดีตามความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย

การที่เธอรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้อยู่เสมอทำให้ยังคงสถานะเป็น “รักแรกแห่งญี่ปุ่น” ตลอดกาล เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดตราบใดเท่าที่พระอาทิตย์ยังขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกและโลกยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ต่อไป

เสียงเพลงของเธอก็ยังคงสามารถเยียวยาเราได้เสมอ

Contributors

วัศวีร์ ฉิมพลีย์

เกลียดความหวั่นไหว ชอบกินปูไทย ฟังใจเกเร นักศึกษาปรัชญาที่งานเขียนชอบปรากฎขึ้นมาในความฝัน