คำว่ารักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว: บทความว่าด้วยเรื่องฝุ่นและสังคมในวันโรคระบาดโดย Behind The เศร้า

ผ่านพ้นเดือนแรกของปี 2021 ไปได้ไม่นาน ลมหนาวก็ค่อยๆ เริ่มพัดหายไปในบางพื้นที่ จากหมอกน้ำค้างในยามเช้าก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยหมอกควัน พลางให้ชวนคิดถึงช่วงเวลาที่เราเดินคู่กันโต้ลมหนาวในช่วงเทศกาล กลับกลายเป็นการเหม่อมองท้องฟ้าอันขุ่นมัวละม้ายคล้ายความสัมพันธ์ของเรา

เมื่อถึงช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากปีหนึ่งสู่อีกปีหนึ่ง หลายคนต่างคาดหวังว่าเรื่องราวที่ไม่ดีต่างๆ จะจบสิ้นไปพร้อมๆ กับปีนั้น ราวกับว่าช่วงเวลาและเหตุการณ์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตก้อนเดียวกันที่มีการเกิดขึ้นและดับดิ้นสิ้นไป

น่าเสียดายที่หาเป็นเช่นนั้นไม่

ผ่านมาไม่นานก็เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ สำหรับหลายๆ คนอาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งความรักที่จะหาคนมากุมมือเพื่อส่งท้ายปลายลมหนาว แต่สำหรับหลายๆ คนอาจเป็นเดือนที่ส่งสัญญาณเตือนว่า ถึงช่วงเวลาที่่หมอกควันจะกลับเข้ามาปกคลุมน่านฟ้าอีกครั้งในไม่นาน และหน้ากากอนามัยก็จะไม่ได้มีไว้ป้องกันเพียงไวรัส COVID-19 แต่ยังเป็นเครื่องป้องกันระบบทางเดินหายใจจากฝุ่นผง PM 2.5 อีกด้วย และหน้ากากที่ว่าหนา ก็ไม่สามารถป้องกันความเหงาที่เกิดขึ้นในใจเราได้

ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะสำหรับบทความที่เกี่ยวกับความรักและก็ฝุ่น กองบรรณาธิการจึงมอบหมายให้เขียนคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองสิ่งนี้ คงเป็นเรื่องที่บ้าบอสิ้นดีหากมีความสอดคล้องกันระหว่างสองสิ่งนี้ และคงจะตลกดีหากผมสามารถเขียนบทความที่มีทั้งสองสิ่งนี้ได้ นับเป็นความท้าทายกับนักเขียนที่มีการเขียนบทความเป็นงานอดิเรก แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่นยุค 2000’s พลันให้นึกถึงเพลงของ Big Ass ยุคเก่าในสมัยพี่แด็กซ์ยังเป็นนักร้องนำให้กับวง

หากผู้อ่านเป็นวัยรุ่นร่วมสมัยกับผู้เขียนก็อาจจะสะกิดใจตั้งแต่เห็นหัวเรื่องของบทความนี้ แต่บทความนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับที่มาที่ไปของเพลงนี้ หรือการตีคุณค่าความหมายของเพลงนี้แต่อย่างใด แค่ผู้เขียนนึกขึ้นได้ตอนนำเสนอคอนเทนต์แก่ กอง บก. โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะผ่านการอนุมัติแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่ทราบ กอง บก. กลับอนุมัติให้ผมเขียนบทความนี้แทบจะในทันที

ความโรแมนติดอาจจะจืดจางลงไปตามคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ลง จนเราเองก็แทบจะไม่มีเวลาไปสนใจในเรื่องอื่นๆ นอกจากเรื่องของตัวเอง ในภาวะที่เราดิ้นรนเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดจากการดำรงอยู่ในสังคมบริโภคนิยม ที่ต้องจุนเจือชีวิตด้วยการทำงานหาเงินมาเติมเงินหมุนกาชาเกมมือถือ กลายเป็นความแปลกแยกระหว่างปัจเจกหนึ่งต่อปัจเจกหนึ่งที่ห่างเหินกันกันขึ้นเรื่อยๆ จากพื้นที่ปรากฎการณ์

ความแปลกแยกนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น ผ่านความแปลกแยกทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการจัดเรียงพื้นที่ความสัมพันธ์ทางกายภาพของสังคมใหม่ที่เกิดขึ้นจากสภาวะที่ไม่ปกติ ภายใต้การระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ กลายเป็นความผิดปกติของอารมณ์ความรู้สึกที่เราต้องจำยอมภายใต้กรอบคิดทางรัฐเวชกรรม ที่ชนชั้นปกครองอาศัยภาวะที่ไม่ปกตินำเอาองค์ความรู้ทางการแพทย์มาจัดระเบียบอารมณ์ความรู้สึกของปัจเจกต่อร่างกายของตนเอง ให้เป็นไปตามคติที่รัฐต้องการอย่างแนบเนียน และเราก็สมยอมให้ความรู้เหล่านั้นครอบงำอารมณ์ความรู้สึกของเรา เพื่อที่เราจะได้อยู่รอดปลอดภัยในสภาวะที่ทุกๆ อย่างรอบตัวสามรถทำให้เราถึงตายได้

แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นความบิดเบี้ยวที่น่าเกลียดน่ากลัว เท่าการที่ชนชั้นนำใช้อภิสิทธิ์ของตนในการยกเว้นการจัดระเบียบเรือนร่างให้แก่พวกตน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มข้าราชการหรือดารานักแสดงที่ถือดีว่าชนชั้นของตนเองนั้นมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าจากหน้าที่การงาน ราวกับว่าเจ้าเชื้อไวรัสนี้จะเลือกปฏิบัติเหมือนกับกฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศสารขันธ์ ที่เคร่งครัดกับประชาชนทั่วไปและยกเว้นกับชนชั้นอภิสิทธิ์ ความแปลกแยกทางชนชั้นจึงยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นภายใต้สภาวะนี้ที่มีการปกป้องกลุ่มดาราอภิสิทธิ์ชนจากการเปิดเผยไทม์ไลน์ของปกปิดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอออล์ที่เคร่งครัดกวดขันเหลือเกินเมื่อเป็นกับชนชั้นกลางลงไป

มันจึงไม่ใช่สภาวะทางสังคมที่ชวนโรแมนติกสักเท่าไหร่นัก เพราะโดยพื้นฐานแล้วเราจะต้องการความรัก เมื่อเราสามารถเติมเต็มความต้องการพื้นฐานในการมีชีวิตได้แล้ว แต่หากเราต้องถามหาความมั่นคงในชีวิตแทบจะวันต่อวัน การแสวงหาความโรแมนติกแทบจะกลายเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยไร้สาระ แต่เหตุใดเรายังคงมองหามันท่ามกลางหมอกควันอันขมุกขมัวที่ เริ่มกลับมาแวะเวียนเราอีกครั้งจนแทบจะเป็นเรื่องปกติที่ปกติซะยิ่งกว่า New Normal

ซ้ำร้ายการแก้ปัญหาของหน่วยงานรัฐกลับคลุมเครือยิ่งกว่าคำตอบในความสัมพันธ์ของเรา จนแทบจะไม่รู้ว่ารัฐนั้นสนใจที่จะแก้ปัญหาฝุ่นควันนี้จริงๆ หรือเปล่า หรือแค่ทำไปส่งๆ เหมือนที่เธอตอบกลับมาแบบส่งเพื่อทิ้งให้เรากลับไปคิดมากเอาเอง ภาพการฉีดพ่นละอองน้ำของหน่วยงานรัฐบางหน่วยงานที่ทำไปเหมือนให้รูปถ่ายส่งให้นายเอาไปอวดอ้างว่าตนได้พยายามลงมือแก้ปัญหาให้แก่ชาวบ้านแล้ว กลายเป็นภาพที่ชวนสมเพชเหมือนกับตอนที่ผมพยายามจะมอบความรักให้กับคุณแต่คุณก็เหมือนฝุ่นควันที่ไม่สะทกสะท้านต่อละอองน้ำโง่ๆที่ฉีดพ่นไปโดยที่ผมไม่ได้รับอะไรกลับมานอกจากความหวังลมๆแล้งๆว่าสักวันความพยายามไร้สาระนี้มันจะสัมฤทธิ์ผลบ้าง

หรือบางทีฝุ่นควันที่เริ่มจะมากขึ้นนี้คือความหวัง ความรักที่แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงลอยล่องบนอากาศเพื่อที่จะเสาะแสวงหาการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง

Contributors

วัศวีร์ ฉิมพลีย์

เกลียดความหวั่นไหว ชอบกินปูไทย ฟังใจเกเร นักศึกษาปรัชญาที่งานเขียนชอบปรากฎขึ้นมาในความฝัน