นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมานั้น ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ที่สุดจากการเกษตร Food, Inc. คือสารคดีที่พาเราไปสํารวจ ‘ต้นทุนที่มองไม่เห็น’ ของอุตสาหกรรมอาหารในอเมริกาอย่างใกล้ชิดทุกแง่มุมผ่านการถ่าย-และแอบถ่ายโรงเลี้ยงไก่ โรงเลี้ยงวัว โรงฆ่าหมู โรงฆ่าวัว และบทสัมภาษณ์จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแทบทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรายย่อย นักรณรงค์มาตรฐานความปลอดภัยในอาหาร นักเขียนหนังสือขายดีเกี่ยวกับอาหาร และซีอีโอบริษัทอาหารออร์แกนิก น่าเสียดายที่สารคดีเรื่องนี้ขาดมุมมองของผู้บริหารบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ที่ ถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะเป็น เพอร์ดู ไทสัน หรือมอน ซานโต เนื่องจากผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ สารคดีเรื่องนี้ตั้งต้นจากปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพของคนอเมริกัน คือโรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนเช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจ ด้วยความที่อาหารแคลอรีสูงและอาหารรสหวานจัดเป็นอาหารที่ถูกที่สุดในอเมริกา ประกอบกับวิถีชีวิตติดทีวี ติด อินเทอร์เน็ต จนไม่ออกกําลังกาย ทําให้ปัจจุบันเด็กอเมริกันกว่า 1 ใน 3 เป็นโรคอ้วน อัตราส่วนนี้สูงถึง 1 ใน 2 ในเด็กชนกลุ่ม น้อย ซึ่งมักจะทํางานหาเช้ากินคํ่าและมีรายได้น้อยที่สุดในสังคม พวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลเวลาป่วยเป็น ‘โรคคนรวย’ ที่ค่ารักษาแพงมากอย่างโรคเบาหวาน ในเมื่ออาหารฟาสต์ฟู้ดมีราคาถูกกว่าอาหารสดและอาหารสุขภาพมาก แถมยังไม่ต้องนํากลับไปปรุงเองที่บ้าน ผู้บริโภครายได้น้อยย่อมมีแรงจูงใจที่จะซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ดมากกว่า ซึ่งปัญหาใหญ่ที่ Food, Inc. ชี้ให้เห็นคือ ราคาอาหารที่ถูกมากไม่ได้เกิดจากความสามารถในการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ของบริษัท อาหารและความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก แต่เกิดจากนโยบายอุดหนุนให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดที่ดําเนินมานาน หลายทศวรรษ อาหารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่ผู้บริโภครับรู้ และบริษัทอาหารไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกจ้างและเกษตรกรรายย่อยอย่างเป็นธรรม Food, Inc. ไม่ได้เปิดโปงแต่ปัญหาเท่านั้น แต่ยังนําเสนอทางออกและแนวโน้มที่นาลุ้นว่าอาจกลายเป็นกระแสหลักได้ใน อนาคตนั่นคือ วงการเกษตรอินทรีย์และอาหารออร์แกนิกที่กําลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามกระแสความใส่ใจสุขภาพของผู้ บริโภคยุคใหม่ ทําให้ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่อย่าง Walmart เริ่มเปิดแผนกอาหารออร์แกนิกแล้ว อย่างไรก็ตาม อาหารออร์แกนิกยังมีราคาสูงกว่าอาหารทั่วไปมาก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้จึงยํ้าว่า ภาครัฐจําต้องเปลี่ยนนโยบาย ระดับชาติเพื่อให้ประโยชน์ตกถึงผู้มีรายได้น้อย ด้วยการเลิกอุดหนุนการปลูกข้าวโพดและอาหารคุณภาพตํ่าทั้งหลาย รวมถึงหันมาอุดหนุนอาหารที่มีคุณค่าตามหลักโภชนาการแทน และส่งเสริมมาตรฐานการผลิตออร์แกนิกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลูกจ้าง และเกษตรกรรายย่อยมากกว่าอุตสาหกรรมอาหาร ถ้าเราเชื่อว่าอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการนั้นมีคุณค่ามากกว่าอาหารคุณภาพ ‘แย่’ เราก็จะต้องหาวิธีทําให้อาหารประเภทแรกมีราคาทัดเทียมหรือถูกกว่าอาหารประเภท หลังให้ได้ เพราะตราบใดที่ ‘ราคา’ ยังไม่สะเทือน ‘คุณค่า’ ที่เราเชื่อมั่นและ ‘ต้นทุนที่แท้จริง’ ที่ธุรกิจเป็นผูก่อ รวมทั้งต้นทุนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ระบบทุนนิยมก็จะยังห่างไกลจากระบบที่มันควรจะเป็น |
Related Posts
สิบความพิเศษของ Starbucks ดินแดนอาทิตย์อุทัยที่ไม่น่าเหมือนกับประเทศไหนในโลก
ประเทศญี่ปุ่นมีสตาร์บักส์กว่า 1,434 สาขา ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับไทยที่มีแค่ 343 สาขาเท่านั้น ที่สำคัญ สตาร์บักส์ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเชนร้านกาแฟระดับโลกที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย สตาร์บักส์ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องสนุกๆ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจและต่างจากเมืองไทยอยู่ค่อนข้างมาก ลองมาดูกันว่าหลายๆ เรื่องที่สตาร์บักส์ญี่ปุ่นแตกต่างจากไทยเหลือเกินนั้นมีอะไรบ้าง 1 บาริสต้าในร้านร้อยละ 80 พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เนื่องจากชาวญี่ปุ่นส่วนมากไม่พูดภาษาที่สอง ทำให้การสื่อสารด้วยภาษากลางอย่างภาษาอังกฤษเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น สตาร์บักส์ญี่ปุ่นจะเตรียมเมนูแบบเล่มให้ไว้ลูกค้าจิ้มสั่งได้เลย 2 สตาร์บักส์ญี่ปุ่นไม่มีชาเขียวเย็น ที่สตาร์บักส์ญี่ปุ่นมีเมนูชาเย็นแค่ 2 รายการเท่านั้นคือ ชา (ดำ) เย็น และชาส้มยูสุเย็น (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมนู Teavana) ส่วนที่เหลือจะเป็นชาร้อนทั้งสิ้น ทั้งชาเขียวมัจฉะลาเต้ (ถ้าสั่งว่า Green Tea บาริสต้าจะไม่เข้าใจ) โฮจิฉะลาเต้ และอื่นๆ และสตาร์บักส์ที่ญี่ปุ่น ไม่มีเมนูชามะนาวเย็น แต่ถ้าอยากกินชาเขียวเย็นแบบไทยจริงๆ คุณหาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปในรูปแบบแก้วเพียง 100 เยนเท่านั้น 3 วิธีจัดการคิวที่เสียเวลาน้อยกว่า แต่เป็นระเบียบมากกว่า ในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก (ส่วนมากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์) สตาร์บักส์ญี่ปุ่นมีวิธีจัดการคิวคือ ให้ลูกค้าต่อแถวเป็นสองแถว แถวแรกเป็นแถวสั่งเมนู ถ้าสั่งและชำระเงินแล้วให้เก็บใบเสร็จไว้ จึงไปต่อแถวที่สองเพื่อรอรับออเดอร์ตามลำดับการชำระเงิน […]
Behind The Scene Editorial Staff
June 13, 2021บทวิเคราะห์ European Super League เมื่อในวันที่โลกลูกหนังถูกหมุนด้วยเงินตรา
“น่ารังเกียจ น่ารังเกียจเป็นที่สุด” คือทรรศนะของแกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ๊คขวาระดับตำนานของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดออกโรงจวกการกระทำของอดีตต้นสังกัดเมื่อครั้งยังสมัยค้าแข้งเป็นรายแรกๆ หลังจากที่มีการแถลงการจัดตั้งอภิมหาโปรเจกต์ครั้งใหม่ที่ชื่อยูโรเปี้ยน ซูเปอรร์ลีก (ESL) ที่มีหัวเรี่ยวหัวแรงรวบรวมโคตรทีมมาร่วมสังฆกรรมในมหรสพลูกหนังฉากใหม่นี้ ‘ฟอเรติโน่ เปเรส’ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด จาก ลา ลีกา สเปน ควบตำแหน่งประธานการแข่งขันรายการนี้อีกหนึ่งตำแหน่ง ประกอบกับทีมบิ๊กเนมจากลีกต่างๆ อาทิ บาร์เซโลน่า แอตเลติโก มาดริด จากลีกลา ลีกา สเปน หรือยูเวนตุส เอซี มิลา อินเตอร์ มิลาน จากลีกเซเรีย เอ อิตาลี แม้แต่กลุ่ม ‘บิ๊กซิกส์’ จากพรีเมียร์ลีกอังกฤษคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล เชลซี อาร์เซน่อล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสเปอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกสามทีมที่ถูกส่งเทียบเชิญไปอีกเช่นเดียวกันอีกสามทีมที่คาดว่าจะเป็น บาร์เยิน มิวนิค และโบรุสเซียดอร์ทมุนต์ จากลีกบุนเดสลีกา เยอรมัน ที่ได้ปัดตกคำเชิญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการโต้ตอบจาก UEFA และ FIFA […]