เป็นเวลาเกือบสามปี จากม้วนแรกจนม้วนปัจจุบัน นับตั้งแต่ผมใส่ฟิล์มเนกาทีฟเข้าไปหลังกล้อง ไม่อาจแน่ใจว่ารูปที่ได้จะตรงตามที่จินตนาการไว้ในหัวก่อนหน้านั้นหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องลุ้น ในช่วงเวลาปัจจุบันนี้เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนหันมาสนใจความสะดวกรวดเร็วของกล้องดิจิทัลกันมากขึ้น แต่ยังมีคนที่หลงรักและใช้ชีวิตผูกติดกับกล้องฟิล์มเรื่อยมา โดยไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งมันจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง นี่คืออีกหนึ่งบทสนทนาเกิดขึ้นที่ร้านล้างฟิล์มย่านสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ชื่อเนกาถีบ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน ระหว่างผมและพี่แมน-วัชรพล ปานแก้ว นายช่างหนุ่มแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลตำแหน่งเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงาน ผู้มีความหลงใหลอันแรงกล้าในการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม จุดเริ่มต้นของ “เนกาถีบ”ถ้าหากพูดถึงชื่อ “เนกาถีบ” ไม่น่าจะมีคนในแวดวงกล้องฟิล์มในเชียงใหม่ที่ไม่รู้จักร้านล้างฟิล์มแสนอบอุ่นร้านนี้ จากการบอกเล่าของพี่แมนทำให้ทราบว่าพี่แมนเริ่มล้างฟิล์มเองครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน เนกาถีบ เกิดขึ้นมาจริงๆ ได้3ปีกว่าแล้ว เกิดขึ้นด้วยความรักในการถ่ายภาพด้วยฟิล์มของพี่แมน ซึ่งรักวงการนี้จริงๆ ทำเพราะรักและมีความสุขกับฟิล์มมาก ก่อนจะมีร้านเกิดขึ้น หลังจากที่พี่แมนได้ค้นพบว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ยุคสมัยของฟิล์มเนกาทีฟได้เลือนหายไป ทำให้พี่แมนเกิดความคิดอยากเปิดร้านล้างฟิล์มเพื่อชุบชีวิต กระตุ้นหัวใจของยุคสมัยแห่งฟิล์มให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง “เริ่มมาจากพี่ชอบถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เริ่มจากตั้งแต่สมัยมัธยมของพี่ พี่ชอบลองหยิบเอากล้องที่คุณปู่ คุณพ่อของพี่เคยใช้ นำกลับมาใช้ มันมีความผูกพัน ด้วยกระแสฟิล์มยุคนึงมันดรอปลง มันเลือนหายไป ด้วยความรู้สึกของเราที่จะหาร้านล้างร้านสแกนในจังหวัดพื้นที่ที่เราอยู่เนี่ยค่อนข้างยาก แทบจะหาได้ยากมากเลย เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว เลยทำให้เราเกิดความอยากลองรับล้างฟิล์ม รับสแกนฟิล์มบ้าง ลองไปศึกษาหาข้อมูลต่างๆในโลกอินเตอร์เนต ติดต่อคุณครู อาจารย์ที่เขามีความรู้ในเรื่องนี้”
เน – กา – ถีบ ?ร้านเนกาถีบเป็นแล็ปล้างฟิล์ม ขายฟิล์ม แต่ไม่ได้รับงานถ่ายภาพ ดูแลเรื่องงานฟิล์มอย่างเดียว พี่แมนเริ่มทำในส่วนนี้มาได้และกำลังจะย่างเข้าปีที่สาม แต่ก่อนยังไม่มีหน้าร้านเหมือนๆที่บริเวณหน้าวัดสวนดอกแบบทุกๆวันนี้ จะเป็นการรับงานทางไปรษณีย์ ทางตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านแทน ลูกค้านำฟิล์มมาฝากคุณพ่อคุณแม่พี่แมนไว้ แล้วเมื่อพี่แมนกลับก็จะมาล้างสแกนฟิล์มส่งงานให้ทุกคน รับงานแบบนี้เดือนเว้นเดือน และส่งไปรษณีย์กลับคืน ทำแบบนี้ วนเวียนมาเรื่อยๆ ล้างทุกม้วนแบบแมนนวล ใส่ใจในทุกๆขั้นตอน พอมีเครื่องล้างและสแกนอัตโนมัติช่วยให้ส่งงานได้เร็วมากขึ้น จนในเดือนตุลาคมปี 2562 นี้พี่แมนก็ตัดสินใจมาเช่าตึกเล็กๆ บริเวณหน้าวัดสวนดอก เปิดเป็นหน้าร้านขึ้นมา ส่วนที่มาของชื่อร้าน “เนกาถีบ” ก็ได้รับคำตอบจากพี่แมนมาว่า “เรามองว่ามันเป็นคำศัพท์ล้อเลียนของฟิล์มเพราะฟิล์มเนี่ยใช้คำว่า “เนกาทีฟ” เราจงใจใช้คำเขียนเลียนแบบภาษาอังกฤษที่เขียนแบบไม่ถูกต้องเหมือนกับคำว่า “คราฟต์ (Craft) ” ที่แปลว่าสร้าง วันดีคืนดีเราก็ไปเห็นร้านเบียร์คราฟต์นี่แหละ แต่เขาเขียนเป็นเบียร์คร้าบบบบบ (หัวเราะ)”
36 Frameสิ่งที่ทำให้หลายคนหลงใหลเสน่ห์ของกล้องฟิล์ม คงอาจจะเป็นเพราะโลกใบนี้หมุนเร็วมากเกินไป จึงทำให้บางคนก็อยากจะลองใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้าง โดยการหันมาทดลองหยิบจับกล้องฟิล์มนั่นเพราะฟิล์มหนึ่งม้วนสามารถถ่ายได้แค่ 36 รูป อีกทั้งยังไม่สามารถเช็ครูปได้ แล้วจึงกดชัตเตอร์ ทำแบบนี้ครบ 36 ครั้ง ได้ 36 รูป ต่อฟิล์ม 1 ม้วน จากนั้นนำไปส่งร้านล้างรูป รอล้าง สแกน หรืออัดภาพ ก็จะได้เห็นรูปที่เราถ่าย แต่สำหรับพี่แมนนั้นได้บอกกับผมว่าการถ่ายภาพด้วยฟิล์มมันรอได้ กว่าที่เราจะได้เงินมาซื้อฟิล์ม มาโหลดฟิล์มใส่กล้องถ่ายภาพ แต่ละครั้งเราก็ต้องคิดเยอะนิดนึง เพราะมันเป็นค่าล้างค่าสแกนที่มันมีราคาในยุคของมันซึ่งมันมีมากขึ้นตามยุคสมัย คนถ่ายก็จะใส่ใจในการถ่ายรูปมากขึ้น เห็นคุณค่าของรูปภาพที่เราถ่ายได้ชัดเจนกว่าตอนที่มันอยู่หลังจอ LED กล้อง “แต่ในยุคนี้คนเรา รอกันแทบจะรอไม่ได้ คนในสมัยนี้อยู่ในยุคดิจิตอลเริ่มกลับไปเล่นอนาล็อคก็ต้องทำความเข้าใจว่าเนี่ย สิ่งนี้มันคือคุณค่าของการถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม ตอนนี้หลายๆร้านที่กำลังเริ่มกลับมาทำเนี่ย เขาจะต้องพยายามทำยังไงก็ได้ให้คนนึงไม่ต้องรอในการได้รูป ซึ่งสถานการณ์แบบนี้มันทำให้คุณค่าของการถ่ายภาพด้วยฟิล์มแบบอนาล็อคในยุคสมัยนี้มันลดลง แทนที่จะเกิดการรอคอยเพื่อที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการได้ภาพ ไม่ออกไปถ่ายภาพมาแล้วก็รีบเอาไปส่งล้างที่ร้าน หรือแล็บเพื่อที่จะได้เห็นภาพเร็วๆ ความรู้สึกของพี่คุณค่าของมันคือการรอคอยผลลัพธ์ที่จะออกมาซึ่งเราตั้งใจกับมันมากๆเลย” การกลับมาของอนาล็อคในยุคสมัยของดิจิทัลพี่แมนได้บอกกับผมว่าการมาถึงของระบบดิจิตอลในกล้องถ่ายรูป บทบาทของกล้องฟิล์มก็เจือจางลงไปจากสังคม บริษัทผลิตฟิล์มบางเจ้าไม่สามารถทำกิจการต่อได้ กระแสความนิยมในกล้องดิจิตอลถาโถมอย่างมากมาย ผู้คนต่างสนุกสนานกับการลั่นชัตเตอร์ แน่นอนว่าด้วยความพร้อมทางเทคโนโลยี แต่พี่แมนกลับรู้สึกแปลก แปลกที่ความล้ำของเทคโนโลยีวันนี้ ทั้งถ่ายรูปได้สวยขึ้น ง่ายขึ้นไม่รู้กี่เท่า มันกลับทำให้พี่แมนยิ่งคิดถึงเครื่องมือเก่าๆ ที่ล้าสมัยเข้าไปทุกที ในวันที่มือถือถ่ายภาพได้คุณภาพดี “พี่ว่ามันมีเสน่ห์ที่ว่ายกตัวอย่างเช่นเราเคยเปิดดูอัลบั้มภาพถ่ายของคุณพ่อ คุณแม่ สมัยนั้นมันยังเป็นโปสการ์ดนะ เรามีความรู้สึกว่าสายตาของเรามีความคุ้นชิน กับสิ่งที่เราเห็นในภาพถ่ายในสมัยก่อนที่อัดจากแผ่นฟิล์มลงบนกระดาษมากกว่า มันทำให้เราดูรูปที่ถ่ายออกมาจากกล้องฟิล์ม เรารู้สึกบันเทิงกว่า (หัวเราะ) สบายตากว่าที่จะเป็นไฟล์ดิจิตอล ดิจิตอลเต็มแบบไฟล์ที่ผ่านเซนเซอร์อะไรประมาณเนี้ย แต่สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้มันคืออนาล็อคสู่ดิจิตอลก็จริง แต่มันยังเป็นความดิจิตอลที่คุ้นชินตาเราอยู่แค่นั้นเอง รู้สึกว่าเรายังก็คงคิดว่า ‘มันยังเป็นฟิล์มอยู่นะ’ ‘เป็นอนาล็อคอยู่’ เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์” คุณค่าของภาพถ่ายที่สูญหายไปเมื่อการถ่ายรูปไม่ใช่แค่การถ่ายรูป แต่กลายเป็นการแสดงตัวตน พี่แมนเล่าให้ผมฟังว่าในกระบวนถ่ายภาพตั้งแต่เริ่มจากถ่ายภาพ จนถึงกระบวนการล้างฟิล์มนั้นไม่ได้ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ต้องอาศัยความอดทน ใช้ระยะเวลา ความประณีต และใช้สมาธิ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยในกระบวนการถ่ายภาพในมือถือ หรือดิจิทัล อีกทั้งยังสร้างคุณค่าทางจิตใจ “สำหรับเราถ้าเราทำเอง ทดลองเอง และก็ล้างได้ตามกระบวนการขั้นตอนของมันในแบบที่เขาเรียกกันว่ากระบวนการล้างมือเนี่ยถือว่าดีที่สุด” ถึงแม้ว่าทุกวันนี้กล้องดิจิตอลจะสามารถทำภาพได้เหมือนฟิล์มแค่ไหน ซึ่งเรามั่นใจว่าเราทำได้เหมือนแล้ว แต่..มันกลับไม่เหมือนเลยเมื่อได้มาถ่ายฟิล์มแล้ว ซึ่งผลนั้นไม่ใช่ในเชิงที่จับต้องได้ อย่างน้อยฟิล์มไม่มีประตูไหนที่จะสู้กับดิจิตอลในเชิงคุณภาพในการถ่าย ความคม ความสด ความสะดวก อะไรก็ตามแต่ แต่ทั้งหมดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจากฟิล์ม หลายๆคนคิดว่า ฟิล์มเนกาทีฟนี่มันสาบสูญไปแล้วแน่ๆเลย (ซึ่งจริงๆเราก็เคยคิดแบบนั้นจริงๆ) ถีบมันไปให้ไกลๆ“เราอยากให้มีร้านเพิ่มขึ้นนะ อยากให้มีคนที่ทำกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวกับฟิล์มมากขึ้น อายุรุ่นราวประมาณ 20-30 ปี ใครอยากทำมีต้นทุนที่พร้อมจะทำ อย่างเราเนี่ยพอมีคนมาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการซื้ออุปกรณ์ น้ำยา ว่าต้องราคาเท่าไหร่อะไรยังไงเนี่ย เราไม่มีกั๊กเลย ละก็อีกอย่างอยากให้ทำกันเป็นเพราะว่าวงการนี้มันอยู่ได้ก็เพราะว่ามัน มีทั้งช่างซ่อมกล้อง คนขายกล้อง ในราคาที่เหมาะสมด้วยนะ ไม่ใช่ว่าแห่กันขายเพราะกระแส (หัวเราะ) แล้วก็ร้าน หรือแล็บรับล้างฟิล์ม สุดท้ายคือพวกเรานี่แหละ “ คนถ่ายภาพ” มันก็ต้องมีให้ครบ วงการนี้มันถึงจะอยู่ต่อไปได้ จะให้บอกว่ามี 1 ร้านในเชียงใหม่ละบอกต้องมาร้านพี่ร้านเดียวพี่คิดว่ามันไม่ถูกต้อง เราอยากให้เห็นเหมือนในยุคสมัยก่อนแบบไปตามมุมเมืองก็เจอ ไปไหนก็หาได้ง่าย ยิ่งถ้าเชียงใหม่นี่มีเยอะๆจะดีมากเลย เมืองของเรามันเป็นเมืองศิลปะ” หลังจากที่ผมได้ถามไปว่าสิ่งที่พี่แมนคาดหวังจากการมีทำธุรกิจนี้อย่างไรบ้าง ผมก็ได้รับคำตอบที่ผ่านประสบการณ์มาว่า ปัญหาที่เจอตอนนี้ก็คือมีคนมาเล่นฟิล์มเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่อาจจะยังศึกษามาไม่มากพอ ทำให้ผลลัพธ์ยังไม่ดี ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ บางคนก็ถึงขั้นว่ารูปเสียหายเลยก็มี อาจเป็นเพราะว่าทำผิดกระบวนการ ผิดขั้นตอน พี่แมนเลยอยากให้เป็นศูนย์รวมให้กับคนชอบถ่ายภาพด้วย และให้ความรู้ไปด้วย บวกกับโลเคชั่นใกล้มหาวิทยาลัย ทำให้ที่นี่ได้รับการแนะนำปากต่อปากก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี พี่แมนเองก็พร้อมเปิดกว้างและพร้อมต้อนรับทุกคนเสมอ “ร้านเราไม่ได้ทำเพื่อที่จะให้มันเกิดออกมาเป็นกระแสนะ ไม่ได้อยากให้คนคิดว่าเราสนับสนุนวงการฟิล์มให้จ๋าขนาดนั้น ให้เด็กรุ่นใหม่ได้ถ่ายภาพด้วยฟิล์มอย่างเดียว ต้องการให้มันคงอยู่รอบๆตัวเราในชีวิตของเรา เรารู้สึกว่าที่นี่คนชอบในสิ่งที่เราชอบเหมือนกับเราเยอะอยู่โดยเฉพาะการถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม อยากให้มันคงอยู่ ถ้าเกิดวันข้างหน้าวันใดวันหนึ่งร้านมันไปได้ไม่ดี สำหรับเราก็ถอยกลับไปอยู่บ้านดีกว่า เพราะเราต้องการให้มันอยู่ ให้มันเป็นอมตะในช่วงชีวิตของเราจนลมหายใจสุดท้ายดีกว่า (หัวเราะ) ถ้าให้ไปไกลกว่านี้เราก็อยากทำแล็ปฟิล์มกระจกกับอัฟกัน บ็อกซ์ มันเจ๋งมากแต่เราไม่ได้สนองความต้องการต่อโลกวงการกล้องฟิล์มนะ แต่เป็นสนองความต้องการของเราเอง ถือว่าเป็นความสนุกที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ” เนกาถีบกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 พึ่งเริ่มจะมีหน้าร้าน เเละมีทีมงานที่รักฟิล์มมาร่วมงานด้วย การมาของ ‘เนกาถีบ’ ไม่ได้มาเพื่อเเข่งขันทางธุรกิจหรือมากอบโกยเงิน เเต่มาเพื่อสนับสนุนผลักดันคนที่ตกหลุมรักเนกาทีฟได้สนุกกันต่อๆไป กระแสกล้องฟิล์มเป็นการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้คนที่ชอบถ่ายภาพ เพื่อบันทึกภาพนั้นให้ออกมาสวยที่สุดในแบบที่แต่ละคนจะสรรค์สร้างออกมาได้
ภาพประกอบ: วัชรพล ปานแก้วเผยแพร่ครั้งแรกในเว็บไซต์ artsvisual.co | พฤศจิกายน 2562 |
Related Posts
การฉายหนังครั้งสุดท้ายของ “พะเยารามา” โรงหนังที่เต็มไปด้วยความทรงจำของคนพะเยา
ยังจำเรื่องราววันที่ไปโรงหนังครั้งแรกได้มั้ย? สำหรับตัวเรา มันเป็นวันที่คุณพ่อได้จูงมือไปดูภาพยนตร์เรื่องก้านกล้วย ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องดัง ณ ขณะนั้น วันนั้นจำได้ว่าที่นั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หลายคนก็ไปพร้อมกับครอบครัว และอีกหลายคนก็ไปกับเพื่อนฝูง ผู้คนจูงมือกันเพื่อที่จะรับความบันเทิงจากจอยักษ์ที่มีขนาดใหญ่มากกว่าโทรทัศน์ และออกไปด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นช้างตัวสีฟ้า เคลื่อนไหวอยู่ในจอยักษ์ นับว่าเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีมากในวัยเด็กของตัวเรา ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การเข้าถึงสื่อบันเทิงต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ผู้คนเลือกที่จะรับชมภาพยนตร์ที่โรงฯ น้อยลง จนในที่สุดโรงหนังแห่งนี้ก็ถูกปิดตัวลงไป เป็นการปิดตำนานโรงหนังแห่งสุดท้ายของจังหวัดพะเยา และใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้มีโรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์แห่งแรกของจังหวัดพะเยาเปิดให้บริการ หลังจากปิดทำการ โรงหนังพะเยารามา ก็ถูกปล่อยร้างทิ้งไว้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าให้เด็กรุ่นใหม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศโรงหนังในรุ่นก่อน เราเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีความทรงจำมากมายกับที่นี่ เมื่อรู้ข่าวการปิดตัวก็ทำให้รู้สึกเศร้าและเสียดายที่จะไม่มีโรงหนังให้เราและเพื่อนได้มาดูแล้ว บทสรุปของที่แห่งนี้คือจะถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นอาคารสำนักงาน เป็นอันปิดตำนานโรงหนังที่รวมเรื่องราวและความทรงจำของชาวพะเยา แต่แล้ววันหนึ่งขณะกำลังเลื่อนหน้าฟีดเฟสบุ๊ค ก็มีกิจกรรมหนึ่งปรากฎขึ้นชื่อว่า Phayaorama ซึ่งเป็นโปรเจคต์ที่ว่าด้วยเหล่าคนรุ่นใหม่ในจังหวัดแห่งนี้ได้จัดกิจกรรมส่งท้ายก่อนที่จะลาพะเยารามาจากกันอย่างถาวร เราอยู่ที่พะเยารามาตามนัดหมายกับอาจารย์ปวินท์ ระมิงค์วงศ์ แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ผู้เริ่มต้นโปรเจ็คนี้ “ตรงนี้จะเป็นส่วนของล็อบบี้ จะมี 2 ส่วนคือพิพิธภัณฑ์หนังกลางแปลง ซึ่งมีเรื่องราวของหนังไทยและก็มีเครื่องฉายหนังมาจัดเป็นพร็อพให้มีเรื่องราวเป็นของหนังกลางแปลง และก็จะมีงานของนักศึกษาในวิชาศิลปะชุมชน เป็นพาร์ทของการถ่ายสัมภาษณ์ โดยเป็นบทสัมภาษณ์ที่ได้ลงพื้นที่ไปคุยกับชุมชนเกี่ยวกับพะเยารามา” อาจารย์ปวินท์เล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในงานขณะที่พาเดินชมรอบ ณ ที่แห่งนี้ โรงหนังที่เต็มไปด้วยความทรงจำของชาวพะเยา Phayaorama อาจารย์ช่วยเล่าเรื่องของโรงหนังแห่งนี้ให้เราหน่อยได้มั้ยครับ ว่ามีประวัติความเป็นมาเป็นยังไง ? ณ ตอนนี้เรารู้แค่ว่าที่นี่ฉายหนังครั้งแรกเมื่อปี […]
ปวรปรัชญ์ จันทร์สุภาเสน
January 11, 2021เบื้องหลังนางสาวไทย 2020 ที่งามอย่างแตกต่างและมีคุณค่าในฉากหลังเมืองเชียงใหม่
นี่เป็นปีแรกที่เวทีการประกวดสาวงามระดับประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างเวทีนางสาวไทย ใช้ฉากหลังในการจัดการประกวดเกือบทั้งหมดที่จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวไทยถือเป็นเวทีประกวดที่ทรงคุณค่าทั้งในการเป็นเวทีประกวดสาวงามแห่งที่สองของประเทศไทย ซึ่งผลิตบุคลากรสาวงามคุณภาพสู่สังคมและวงการบันเทิงมากมาย ทั้งอร-อรอนงค์ ปัญญาวงค์, บุ๋ม-ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี, นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์, หมอเจี๊ยบ-แพทย์หญิงลลนา ก้องธรนินทร์ หรือสาวงามปีล่าสุดที่คว้าตำแหน่งนางงามนานาชาติหรือ Miss International 2019 คนแรกของประเทศไทยมาครองอย่างบิ๊นท์-เภสัชกรหญิงสิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ จากสโลแกนงามอย่างแตกต่างและมีคุณค่าที่ทำงานทันทีเมื่ออ่านเพียงครั้งเดียว ทำให้การคัดเลือกสาวงามในปีนี้เข้มข้นอย่างมีนัยยะสำคัญจนเราได้เห็น 30 สาวงามที่มีความสวยทั้งภาย-ภายนอกต่างกันไป รวมถึงเรื่องราวที่น่าสนใจและเหตุผลที่หลากหลายในการขึ้นประกวดในปีนี้ และเพราะปีนี้สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ ได้มอบสิทธิ์การจัดประกวดในปีนี้ให้กับทีมผู้จัดงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ที่การันตีด้วยฝีมือการจัดงานอีเวนต์สำคัญๆ ในภาคเหนือกว่า 16 ปีอย่างบริษัทเอ็มกรุ๊ป ออร์แกไนซ์ แอนด์ มีเดีย จำกัด ทำให้เราได้บัตรผ่านหลังเวทีเพื่อถอดเบื้องหลังของการประกวดนางสาวไทยในปีนี้ ซึ่งมีคุณหนุ่ม-ดร.อดิศร สุดดี ประธานกรรมการบริษัทฯ ที่นั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการกองประกวด รอนั่งสนทนากับเราถึงเบื้องหลังทั้งหมด ก่อนที่เวทีนางสาวไทยจะได้ผู้ชนะคนใหม่ที่งามอย่างแตกต่างและมีคุณค่า สมกับคำขวัญของงานในวันพรุ่งนี้ นัก (จัด) กิจกรรม เราเดินทางมาที่ออฟฟิศของเอ็มกรุ๊ปฯ ตามเวลานัดหมาย คุณหนุ่มออกมาต้อนรับเราหลังจากประชุมเตรียมงานนางสาวไทยเสร็จพอดี ย้อนกลับไปราว 20 ปีที่แล้วเมื่อครั้งคุณหนุ่มยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นหนึ่งในนักกิจกรรมตัวยงที่เขามีส่วนร่วมในงานสำคัญๆ เสมอ แต่ในยุคนั้นจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่รู้จักอาชีพอีเวนต์ ออร์กาไนเซอร์ หรือนักจัดอีเวนต์มาก่อน […]
สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์
December 11, 2020หลวงอนุสารสุนทรกิจ ช่างภาพเล่าเรื่องวิถีชีวิตอดีตเมืองเชียงใหม่
หลวงอนุสารสุนทรกิจ นามเดิม สุ่นฮี้ ชัวย่งเสง เกิดเมื่อ เดือน 12 ปีเถอะ ตรงกับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2410 ณ บ้านทุ่งกู่ช้าง นครลำพูน มณฑลพายัพ ปัจจุจันคือ หมู่บ้านไก่แก้ว ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน ของนายต้อย แซ่ฉั่ว กับ นางแว่น จากการให้ข้อมูลจากคุณสมยศ นิมมานเหมินท์ คุณจุมพล ชุติมา และคุณเนห์ นิมมานเหมินท์ หลวงอนุสารสุนทร ท่านเป็นคนที่รักที่จะไฝ่รู้ไฝ่เรียน ชอบทดลอง ตอนอายุ 10 ขวบ ก็สามารถปลุกพืชผักสวนครัวไว้กินเองได้ ในช่วงอายุ 12 ปี มารดาของหลวงอนุสารสุนทรถึงแก่กรรม ช่วงระยะเวลาที่ท่านและพี่น้อง อยู่กับบิดาจึงเกิดแรงบันดาลใจชอบในการค้าขายมากขึ้น เพราะหลวงอนุสารสุนทรท่านได้พบกับหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งยากจนมากแบบที่เรียกว่าไม่มีอันจะกิน ต้องเทียวขอน้ำแกงเปล่าๆ จากชาวบ้าน เมื่อได้มาก็เอาข้าวเหนียวจิ้มกินจนอิ่ม ประทังชีวิตไปเป็นมื้อๆ แต่ทั้งๆ […]